วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หลักการออกแบบฐานข้อมูล


การออกแบบฐานข้อมูล
    การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท
1. รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many) ดังรูป แสดงโครงสร้างลำดับขั้นของผู้สอนทักษะผู้สอน หลักสูตรที่สอน




รูปที่ 5.9 แสดงโครงสร้างลำดับขั้นของผู้สอน ทักษะผู้สอน หลักสูตรที่สอน
แสดงส่วนประกอบของระบบจัดการฐานข้อมูล (Elements of a database management systems) ข้อดีและข้อเสียของระบบการจัดการฐานข้อมูล ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียในการที่องค์การจะนำระบบนี้มาใช้กับหน่วยงาของตนโดยเฉพาะหน่วยงานที่เคยใช้คอมพิวเตอร์แล้วแต่ได้จัดแฟ้มแบบดั้งเดิม (Convention File) การที่จะแปลงระบบเดิมให้เป็นระบบใหม่จะทำได้ยากและไม่สมบูรณ์ ไม่คุ้มกับการลงทุน ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่าในการพัฒนาฐานข้อมูลจะต้องประกอบด้วย
   วิธีการจัดแบบลำดับขั้นเป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและกำหนดให้เป็นเซ็กเมนต์ (Segment) โดยมีการแยกประเภทของเซ็กเมนต์ว่าเป็นเซ็กเมนต์ราก (Root segment) หรือ เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง(Dependent segment) แสดงถึงฐานข้อมูลของฝ่ายที่มีการเปิดอบรมของบริษัทหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบลำดับขั้น เซ็กเมนต์ที่เป็นราก คือ ชื่อฝ่าย (Department name) โดยมีเซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง 2 เซ็กเมนต์คือ เซ็กเม็นผู้สอน(Instructor) และหลักสูตร (Course) สำหรับเซ็กเมนต์ผู้สอนก็จะมีตัวพึ่งอีก 1 เซ็กเมนต์ คือ เซ็กเมนต์ความชำนาญ(Skill) ส่วนเซ็กเมนต์หลักสูตรก็จะมีตัวพึ่งเป็นเซ็กเมนต์เปิดสอนโดยและเข้าเซ็กเมนต์สุดท้ายก็คือเซ็กเมนต์ผู้เรียนซึ่งเป็นตัวพึ่งของเซ็กเมนต์เปิดสอนโดย
    การติดต่อของข้อมูลแบบลำดับขั้นจำเป้นจะต้องอาศัยตัวชี้ (Pointer) ซึ่งสามารถแบ่งตัวชี้ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ตัวชี้เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง (Child Pointer)
2. ตัวชี้เซ็กเมนต์ระดับเดียวกัน (Twin Pointer)
    ข้อดีและข้อเสียของโครงสร้างแบบลำดับขั้น คือ สามารถสร้างความสัมพันธ์ให้เด่นชัดของข้อมูลแต่ละลำดับว่าข้อมูลเป็นเซ็กเมนต์ราก หรือเป็นพ่อแม่(Parent) และข้อมูลเป็นเซ็กเมนต์ตัวพึ่งหรือตัวลูก (Child) ส่วนข้อเสีย โครงสร้างแบบนี้มีความคล่องตัวน้อย เพราะต้องเริ่มอ่านจากเซ็กเมนต์ที่เป็นรากก่อน นอกจากนั้นการออกแบบฐาน ข้อมูลต้องระมัดระวังการซ้ำซ้อนของข้อมูล

2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมีความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลำดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อหลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมีพ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายใหลองพิจารณาการจัดการข้อมูลของห้องสมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภทหนังสือ และปีที่พิมพ์ ดังนั้นการจัดข้อมูลแบบเก่าจะทำให้ข้อมูลซ้ำซ้อนกันมาก ดังรูป


ดูรูปแสดงการออกแบบรายการแบบเก่า
 
    จากรูปจะเห็นว่าโอกาสที่ข้อมูลจะซ้ำซ้อนมีมากในระบบการจัดการแฟ้มแบบเก่า หนังสือแต่ละเล่มหรือแต่ละชื่อเรื่องต่างก็มีรายการแยกต่างหาก ดังนั้นบรรดาผู้แต่งที่แต่งหนังสือมากกว่าหนึ่งเล่มจะปรากฏมากว่าหนึ่งครั้งในไฟล์นอกจากนั้นสำนักพิมพ์แต่ละแห่งพิมพ์หนังสือหลายเล่ม ดังนั้นชื่อของสำนักพิมพ์ ที่อยู่ก็จะปรากฏซ้ำๆกันในไฟล์ข้อมูลรวม ดังนั้นผู้วางระบบฐานข้อมูลจึงแนะนำให้สร้างฐานข้อมูลลักษณะเครือข่าย
 

รูปแสดงการสร้างฐานข้อมูลแบบเครือข่าย

     เพื่อลดความซ้ำซ้อน โดยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรายการเข้าด้วยกัน จะเห็นว่าความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลายรายการ (Record) ระหว่างรายการชื่อสำนักพิมพ์และชื่อเรื่อง ซึ่งแสดงโดยมีรูปลูกศรซ้อนกัน 2 หัวเราเรียกรวมชื่อสำนักพิมพ์และชื่อเรื่องซึ่งมีความสัมพันธ์กันว่าเซตและเรียกว่าสกีมา(Schema) ดังนั้นชื่อผู้แต่งแต่ละคนจะปรากฏเพียงหนึ่งครั้งและเชื่อมโยงกับชื่อหนังสือที่เป็นผู้แต่ง ขณะที่ชื่อสำนักพิมพ์ก็เชื่อมโยงกับหนังสือที่ตนเป็นผู้พิมพ์ เมื่อต้องการเข้าถึงรายการจะสามารถเข้าถึงผ่านทางชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หรือชื่อสำนักพิมพ์ ก็ได้ โดยอาศัยเส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง รายการ ทำให้ข้อมูลทุกรายการสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างถูกต้อง รายการหรือเรคอร์ดสมาชิก (Member) เช่น เรียก เรคอร์ดของผู้แต่งก่อนก็เป็นเรคอร์ดนำและหาตัวเชื่อมเพื่อไปค้นหารายชื่อหนังสือที่แต่งซึ่งเป็นเรคอร์ดสมาชิกก็จะปรากฏขึ้น
     ข้อดีและข้อเสียของโครงสร้างแบบเครือข่าย คือเรคอร์ดแต่ละประเภท สามารถใช้เป็นเรคอร์ดนำได้โดยกล่าวถึงก่อน ส่วนการซ้ำซ้อนของข้อมูลจะมีน้อยมากเนื่องจากเรคอร์ดสมาชิกสามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น รายละเอียดของหนังสือหนึ่งเล่มอาจจะแต่งจากผู้แต่งหลายคน จึงสามารถใช้ร่วมกันได้ ข้อเสีย ความสัมพันธ์ของเรคอร์ดประเภทต่างๆไม่ควรจะเกิน 3 ประเภท เช่น ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ หากมีความสัมพันธ์หลายประเภท อาจจะออกแบบเครือข่ายไม่ได้หรือยุ่งยากขึ้น เนื่องจากมีข้อจำกัดในการออกแบบ

3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ

แสดงประวัติพนักงาน
รหัส
ชื่อ
วันเข้าทำงาน
เงินเดือน
ตำแหน่ง
แผนก
001
นายแดง
1/1/32
30000
ผู้จัดการ
วิศวกรรม
002
นายเขียว
30/6/34
20000
หัวหน้าช่าง
วิศวกรรม
003
นายดำ
16/4/36
18000
สมุห์บัญชี
บัญชี
004
น.ส น้ำฝน
1/5/39
9000
จัดซื้อ
บัญชี
005
น.ส ทราย
16/6/40
7000
ธุรการ
ธุรการ

ตารางแผนก

ตารางข้อมูลโครงการ
รหัสแผนก
ชื่อแผนก
10
บัญชี
20
วิศวกรรม
30
ธุรการ

รหัสโครงการ
ชื่อโครงการ
วันเริ่ม
วันสิ้นสุด
งบประมาณ
01
ทางด่วนขั้นที่ 3
1/1/38
31/12/41
500000000
02
สร้างเขื่อนเก็บน้ำ
1/5/39
30/4/40
20000000
03
สร้างสนามฟุตบอล
30/6/39
30/10/40
10000000
ตารางแสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการา
    ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการเรียกข้อมูลจากตารางทั้ง 3 มาใช้ก็สามารถทำได้โดยการสร้างตารางใหม่ ดังแสดงการสร้างตารางรหัสพนักงานว่าอยู่แผนกไหน ทำงานโครงการอะไรและระยะเวลาในการทำ
รหัสพนักงาน
รหัสแผนก
รหัสโครงการ
ระยะเวลา(วัน)
001
20
03
30
004
10
03
60
002
20
02
180
ตารางแสดงการสร้างตารางรหัสพนักงาน
 
     ข้อดีและข้อเสียของโครงสร้างแบบสัมพันธ์ คือ สามารถสร้างตารางข้นมาใหม่โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์และค้นหาว่าข้อมูลในฐานข้อมูลมีข้อมูลร่วมกับตารางที่สร้างขึ้นมาใหม่หรือไม่ ถ้ามีก็ให้ประมวลผลโดยการอ่านเพิ่มเติมปรับปรุงหรือยกเลิกรายการ ข้อเสีย คือ การศึกษาวิธีการเขียนโปรแกรมและใช้ฐานข้อมูลจะต้องอิงหลักทฤษฏีทางคณิตสาศตร์จึงทำให้การศึกษาเพิ่มเติมของผู้ใช้ ยากแก่การเข้าใจ แต่ในปัจจุบันมีโปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลหลายโปรแกรมที่พยายามทำให้การเรียนรู้และการใช้ง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL(Structured Query Language) เป็นต้น




โปรแกรมบริหารงานภัตตาคาร - ร้านอาหาร
 PAKEYSOFT RESTAURANT FOR WINDOWS  VERSION 3
               เป็นที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าการบริหารงานร้านอาหารโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งการบริหารงานขายนั้น ต้องมีการวางระบบการทำงานที่ดี ซึ่งหนึ่งในการวางระบบการบริหารนั้น
คือการใช้โปรแกรมการบริหารงานขายที่มีคุณภาพ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีทาง
ด้านคอมพิวเตอร์ มีบทบาท และมีความสำคัญมากเป็นอย่างมากในการเข้ามาช่วยเหลือ ในการ
บริหารงานขาย
                  ดังนั้น บริษัท ภาคีภัณฑ์ จำกัดขอเสนอโปรแกรมสำหรับบริหารงานโปรแกรมภัตตาคาร
ร้านอาหาร ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับร้านอาหารโดยเฉพาะเพื่อให้การทำงานของร้าน
ของเป็นไปอย่างรวดเร็ว,มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว สำหรับใช้งานบน
Windows  และ รอง รับการทำงานในระบบ touch screen อย่างสมบูรณ การทำงานของโปรแกรม
ประกอบด้วยระบบย่อยๆดังนี้
1.ระบบการขาย (Point-of-Sales System) 
•              สามารถเปิดโต๊ะได้ไม่จำกัดจำนวนโต๊ะ
•              สามารถกำหนด ชั้น หรือ ห้องได้ (แต่ละห้องก็กำหนดรูปแบบโต๊ะเฉพาะของแต่ละห้องได้)
•              สามารถกำหนดเลขโต๊ะที่เป็นโต๊ะปกติของร้านไว้ก่อนได้ 
•              นอกจากนี้ยังสามารถเปิดโต๊ะชั่วคราวในกรณีที่ต้องการเพิ่มโต๊ะใหม่แบบกระทันทันได้
•              หน้าจอการสั่งอาหารชัดเจนโดยสามารถบันทึกรายการบนหน้าจอได้ทั้งที่เป็นรูปอาหาร และ
 เป็นชื่อของรายการอาหารและรองรับการทำงานที่เป็น Touch Screen
•              สามารถบันทึกจำนวนแขก,รหัสบริกรเพื่อเก็บข้อมูล
•              มีพื้นที่ในการขายได้เพื่อให้สามารถขายรายการอาหารรายการเดียวกัน ได้หลายราคา
•              มีปุ่ม ที่Hot Key เพื่อความรวดเร็วในการสั่งอาหาร
•              นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดให้แต่ละปุ่มบนหน้าจอ เป็นกลุ่มของอาหารเช่นกลุ่มของต้มยำ
เมื่อเลือกแล้วจะ     เป็นรายการทั้งหมดของต้มยำ
•              รายการอาหารที่สั่งไปแล้วจะแสดงขึ้นมาที่จอภาพเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ
•              สามารถใส่หมายเหตุของรายการอหาร เช่น ไม่เผ็ด , ไม่ใส่ผัก ได้
•              สามารถส่งพิมพ์ใบ Order ที่ครัวได้
•              การเช็คบิลมีรายละเอียดครบถ้วนทั้งรายการที่ลูกค้าสั่ง,รายการที่ทำการยกเลิก และ ราย
ละเอียดการลดราคา
•              อาหาร,กลุ่มของอาหาร และ ทั้งบิลได้
•              การลดราคาสามารถทำได้ทั้งการลดที่เป็นบาท และ ที่เป็น %
•              สามารถให้ส่วนลดกับสมาชิกได้ทันที
•              บันทึกค่าบริการ (Service Chart) ได้ 
•              สามารถทำการรับเงินได้หลายแบบเช่น เงินสด,บัตรเครดิต,คูปองแบบต่างๆ,เช็คธนาคาร
หรือ รับแบบผสม เช่น เงินสด + บัตรเครดิต
•              สามารถพิมพ์ใบเสร็จรับเงินได้ทันทีและมีรายละเอียดครบถ้วน
•              ท่านสามารถเลือกที่จะพิมพ์ หรือ ไม่พิมพ์ เอกสารดังนี้  ใบสั่งอาหารที่ครัว ,ใบเช็คบิล,ใบ
เสร็จรับเงิน, ใบสรุปปิดรอบแคชเชียร์
•              สามารถที่จะนำเงินเข้าลิ้นชัก(เพื่อทอน) ก่อนทำการขาย และจะไปสรุปเป็นยอดคงเหลือเมื่อ
สรุปปิดรอบการทำงาน
•              สามารถนำเงินออกจากลิ้นชักโดยสามารถบันทึกเหตุผลในการนำเงินออกได้และจะไปสรุป
เป็นยอดคงเหลือเมื่อสรุปปิดรอบการทำงาน
•              สามารถทำการย้ายโต๊ะ, แยกโต๊ะ และ รวมโต๊ะได้
•              สามารถพิมพ์ใบสรุปปิดรอบของแต่ละรอบของแคชเชียร์ได้โดยมีรายละเอียดของการรับเงิน
พร้อมสถิติการทำงานของการทำงานในรอบนั้นๆ
2.ระบบสต็อกเครื่องดื่ม (Stock Control  System)
เพื่อช่วยควบคุมการทำงานในส่วนสต็อกของเครื่องดื่ม โปรแกรมจึงมีส่วนเพื่อช่วยให้การควบคุมการทำ
งานได้ง่ายขึ้นโดยมีรายละเอียดดังนี้
•              สามารถกำหนดคลังสินค้าได้หลายคลังเช่นมี คลังหลัก,คลังหน้าร้าน เป็นต้น
•              สามารถทำการรับสินค้าได้ทันที่เมื่อมีสินค้าเข้ามาส่ง
•              สามารถบันทึกการส่งคืนสินค้าที่หมดอายุ หรือ แตกหักเสียหายได้
•              สามารถที่จะโอนสินค้าไปมาระหว่างคลังต่างๆได้
•              สามารถที่จะตรวจสอบยอดสต็อกคงเหลือของสินค้าในคลังสินค้าต่างๆได้ทันที
3.ระบบสมาชิก (Member System)
การให้ส่วนลดต่างๆเพื่อทำให้ลูกค้าของท่านประทับใจ และจะต้องมาใช้บริการอีกในภายหลังและระบบนี้
ช่วยให้ท่านอำนวยความสะดวกต่างๆ ในบริการแก่สมาชิกเป็นไปได้อย่าง สะดวก ละรวดเร็ว โดยที่ปรแก
รม สามารถ เก็บประวัติต่างๆของลูกค้า สามารถแบ่งประเภทลูกค้าต่างๆได้ และยังให้สิทธิต่างๆในการ ลด
ราคาตาม ประเภท ลูกค้าได้
•              สามารถกำหนดประเภทของสมาชิกได้เป็นระดับต่างๆ  โดยแต่ละระดับอาจจะมีการกำหนด
การให้ส่วนลดแตกต่างกันเช่น  VIP สามารถลดได้ 20% , แต่ระดับสมาชิกธรรมดาลดได้ % เป็นต้น
•              สามารถเก็บข้อมูลของสมาชิกได้อย่างอย่างละเอียดละเอียด
•              มีรายงานในการแสดงยอดซื้อของสมาชิก ทั้งรายวัน และรายเดือน
4. ระบบฐานข้อมูลต่างๆ (Database System)
 ก่อนใช้งานโปรแกรมนี้จะต้องผ่านการป้อน ข้อมูลพื้นฐาน ต่างๆ ผ่านระบบนี้  เช่น
•              การกำหนดประเภทของอาหารในร้านของเราเป็นประเภทต่างๆ เช่น อาหาร,เครื่องดื่ม,เหล้า.เบียร์ เป็นต้น
•              การกำหนด กลุ่มเพื่อการลดราคา  เนื่องจากร้านอาหารในแต่ละร้าน มีการทำการลดราคา
แตกต่างกัน ดังนี้โปรแกรมจึงให้การกำหนดกลุ่มของการลดราคาสามารถทำได้โดยท่านเองได้เลย
•              มีการกำหนดหน่วยของรายการอาหาร (เช่น จาน ,ชาม,ช้อน ) ขนาดของรายการอาหาร
(เช่น เล็ก,กลาง,ใหญ่)
•              กำหนดรายละเอียดของแต่ละรายการอาหารแต่ละรายการ เช่น รหัสอาหาร ,ชื่ออาหาร,ราคา
ต้นทุน,ราคาขาย
•              สามารถการกำหนดให้รายการอาหารอยู่ในสถานะที่ขาย หรือ หยุดขายไว้ก่อน  
•              สามารถกำหนด รายการสินค้าในแต่ละรายการให้เป็นรายการแถมได้ (เช่นกรณีที่จัดโปรโม
ชั่น ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น) เมื่อหน้าร้านทำการสั่งรายการดังกล่าวจะเลือกได้ว่าต้องการขาย หรือแถม  
•              กำหนดการรับชำระ เช่น การรับบัตรเครดิตจะรับบัตรเครดิตของธนาคารใดบ้างก็กำหนดเอาไว้
ก่อนได้หรือการรับบัตรอื่นๆเช่นคูปองแบบต่างๆ ที่กำหนดจากการที่ร้านจัดโปรโมชั่น
•              ท่านสามารถกำหนดการวางปุ่มของการรับด้วยเครดิต หรือคูปองที่จอภาพได้เองตามลำดับ
การใช้งานมากน้อย ที่จอภาพเพื่อให้แคชเชียร์ทำงานได้อย่างสะดวก
•              การกำหนดรูปแบบของโต๊ะ นั่นคือสามารถกำหนดเลขที่ของโต๊ะ เพื่อแสดงที่จอภาพของการ
สั่งอาหารได้ก่อน
5.ระบบรายงานต่างๆ(Report System)  
มีรายงานต่างๆเพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่านเกี่ยวกับการขาย เช่นยอดขายสินค้า,การเรียง
ลำดับยอดขาย,การตรวจสอบยอดเงิน ที่รับในแต่ละวัน ,ยอดคงเหลือของสต๊อกสินค้า ,การขายให้กัย
สมาชิก เป็นต้น เพื่อใช้ในการตัดสินใจการดำเนินงานของร้านอาหาร
6. ระบบรักษาความปลอดภัย (Securer System)
เป็นระบบที่จัดการการทำงานให้ระบบมีความรัดกุมและปลอดภัยยิ่งขึ้นทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการควบคุม
กล่าวคือช่วยให้สามารถแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ใช้แต่ละคนให้มีสิทธิ์การทำงานเต็มที่
ทุกอย่างผู้ใช้บางคนอาจได้รับสิทธิ์ทำได้เฉพาะหัวข้อที่คนเกี่ยวข้องเท่านั้น ดังนั้นการทำงานก็จะเป็นสัด
ส่วนและมีผู้รับผิดชอบในการใช้งานของผู้ใช้ระบบแต่ละคนให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม โดยผู้ใช้แต่ละ
คนจะทราบเฉพาะรหัสประจำตัวและรหัสผ่านของแต่ละคนและจะทำงานได้เฉพาะในหัวข้อหรือข้อมูลที่ตน
มีสิทธิเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีระบบการสำรองข้อมูล และเรียกคืนข้อมูล กรณีที่ HardDisk มีปัญหา


ตัวอย่างหน้าจอการทำงาน

การเปิดโต๊ะ และ สถานะของโต๊ะ



การสั่งอาหาร 1



 การสั่งอาหาร 2

การเช็คบิล 
การรับชำระ 1 
การรับชำระ 2  
การย้ายโต๊ะ  
อ้างอิง
http://www.pakeypan.com/res.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น